วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

6 ประโยชน์อันน่าทึ่งของ "เทียนไข" ที่ควรบอกต่อ


ยามที่บ้านเราไฟดับ สิ่งที่มองหาก็คือเทียนไข หรือใครอยากสร้างบรรยากาศโรแมนติก ก็อาจจะจุดเทียมหอมปิดไฟ ซึ่งเทียนก็นับว่าเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่รู้ไหมว่า เราสามารถนำซากเทียนเก่าๆ มาทำประโยชน์ได้อีกเยอะแยะเลยล่ะ ลองไปดูกันเลยดีกว่าครับ

6 ประโยชน์อันน่าทึ่งของ “เทียนไข” ที่ควรบอกต่อ


1. เพิ่มความลื่นให้ลิ้นชัก




ลิ้นชักตู้หรือเตียง ที่มีอายุการใช้งานมานานแล้ว มักจะมีความฝืดเกิดขึ้นได้ ทำให้ดึงเข้า-ออกลำบาก เราสามารถใช้เทียนเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาทำให้เกิดความลื่นได้ โดย ดึงตัวลิ้นชักให้แยกออกมา นำเทียนถูบริเวณรางของลิ้นชักไปมาให้ทั่วทั้งสองข้าง จากนั้นก็นำตัวลิ้นชักใส่กลับเข้าไป แล้วลองเลื่อนลิ้นชักเข้า-ออกดู ถ้าเลื่อนแล้วลื่นขึ้นก็เป็นอันใช้ได้


2. เพิ่มความลื่นให้บานพับประตู หน้าต่าง




บานพับประตูหรือหน้าต่าง ที่โดนฝนโดนแดดสาดใส่ทำให้สีลอก ฝืด และขึ้นสนิมเร็ว เทียนไขสามารถช่วยคุณได้ ซึ่งจะมีลักษณะการใช้งานคล้ายกับข้อ 1 คือ ใช้เทียนถูบริเวณบานพับที่ต้องการให้ทั่วบริเวณ จากนั้นก็ลองเปิดเข้า-ออกดู

3. อุดรูรั่วได้รอบบ้าน




รอยรั่ว เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกจริง ๆ สำหรับหลาย ๆ บ้าน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ ประตู หน้าต่าง หรือหลังคา แต่เทียนไขที่ไม่ใช้แล้ว สามารถช่วยคุณได้ โดยนำเทียนมาขูดออกให้เป็นเส้น ๆ กะตามปริมาณของรูรั่ว นำเทียนที่ขูดไว้เป็นเส้น ๆ ใส่อัดเข้าไปในบริเวณที่ต้องการให้แน่น เพื่ออุดไม่ให้มีรอยรั่วได้อีก


4. เติม/แซม/อุด รอยบุบของเฟอร์นิเจอร์ไม้

หลาย ๆ คนคงจะชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ แต่ไม้ที่ใช้ทำนั้นเป็นไม้ธรรมชาติ พอมาประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์แล้ว อาจมีรอยบุบอยู่บ้าง ทำให้มองมาแล้วไม่สวยงาม เทียนไขก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ช่างไม้ ใช้ในการเติมรอยบุบ โดยใช้วิธีการนำเทียนไขสีเหลืองลงไปต้ม (เพราะสีใกล้เคียงกับไม้ที่สุด) เพื่อให้ได้เป็นขี้ผึ้งเหลว ๆ จากนั้นก็นำไปเติมในส่วนที่เราต้องการได้เลย เกลี่ยให้ทั่ว แล้วรอให้แห้ง


5. แก้ไขปัญหาซิปติด




ซิปกางเกง กระโปรง หรือกระเป๋า ค้าง ฝืด รูดไม่ขึ้น ปัญหานี้แก้ได้ง่าย ๆ โดยใช้เทียนถูไปรอบ ๆ บริเวณที่มีปัญหา จากนั้นลองรูดขึ้น-ลงดู ถ้าใช้ได้แล้ว อย่าลืมนำสำลีชุบน้ำพอหมาด มาเช็ดซ้ำบริเวณที่ถูเทียนไขไว้ด้วย เพื่อทำความสะอาดคราบเทียนไขให้หมดจด


6. ช่วยแก้น้ำตาไหลจากการปอกหอม




ถ้าพูดถึงเรื่องการปอกหัวหอมเป็นเวลานาน ๆ แล้วละก็ แทบจะทุกคนจะต้องมีอาการน้ำตาซึมกันบ้าง แต่มีวิธีแก้ง่ายนิดเดียว คือ ให้จุดเทียนไขตั้งไว้ห่างจากตัวเราพอประมาณ ควันและกลิ่นจากเทียนไขจะช่วยดูดซับความฉุนของหัวหอม เท่านี้น้ำตาก็จะไม่ไหลแล้ว


ไม่น่าเชื่อเลยว่างานบ้านงานเรือน หรือกิจวัตรประจำวัน เราจะใช้เทียนช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆได้ เกล็ดเล็กน้อยที่เป็นประโยชน์แบบนี้ รู้แล้วอย่าลืมบอกต่อนะจ๊ะ


ที่มา : naibann.com
ที่มา: http://www.kinaroi.com/news3578.html

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ห้องน้ำขนาดเล็ก ตกแต่งอย่างไรให้ออกมาสวย

ห้องน้ำขนาดเล็ก ตกแต่งอย่างไรให้ออกมาสวย

เคล็ดลับสำคัญของการออกแบบ ห้องน้ำขนาดเล็ก ให้สวยงาม

สี และ แสง : ที่เหมาะสมกับห้องน้ำขนาดเล็กผนังห้องน้ำมีส่วนสำคัญมาก ในการสร้างความรู้สึกว่าห้องน้ำมีขนาดกว้างหรือแคบ คุณอาจจะเลือกทาสีผนังห้องน้ำแต่ละฝั่งให้แตกต่างเป็นคนละสีกันเลยก็ได้ แต่ปัจจัยสำคัญคือ คุณจะต้องเลือกใช้สีอ่อนๆ โทนสว่าง เพราะจะช่วยลดความรู้สึกคับแคบภายในห้องน้ำลงได้ สำหรับแสงจากหลอดไฟควรเลือกใช้แสงโทนอ่อนที่อบอุ่น ไม่ควรใช้แสงนีออนสีขาวสว่างจ้า

การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่ง : ให้เหมาะสมกับห้องน้ำขนาดเล็ก แม้ว่าจะเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก แต่ของตกแต่งต่าง ๆ ภายในห้องน้ำก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือ ควรเลือกเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่าตกแต่งให้มากเกินไป การเลือกใช้กระจกบานใหญ่ ก็มีส่วนที่ทำให้ห้องน้ำขนาดเล็กดูกว้างมากขึ้น เพราะกระจกจะช่วยสะท้อนแสงและภาพ ช่วยสร้างความรู้สึกว่าห้องน้ำมีพื้นที่มากขึ้น ลดความรู้สึกอึดอัด

1. Use those corners



2. Compact solutions



3. Add a walk-in shower



4. A splash of colour



การออกแบบ ห้องน้ำขนาดเล็ก ให้ออกมาสวย มีเคล็ดลับที่ไม่ยุ่งยากมากนัก เพียงแค่จัดแสงสีให้เหมาะกับตัวห้อง และเลือกสุขภัณฑ์ให้เข้ากับแสงสี แค่นั้นห้องน้ำของเพื่อนๆ ก็จะออกมาสวยสง่าแล้วค่ะ

ขอบคุณภาพ : www.ideal-standard.co.uk
ที่มา : http://decor.mthai.com/room/bathroom/15137.html

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 ต้นไม้ต้องห้าม ไม่ควรปลูกไว้ในบ้าน

10 ต้นไม้ต้องห้าม ไม่ควรปลูกไว้ในบ้าน




1. ต้นรัก
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้นรักถึงไม่ควรปลูกไว้ในบ้านทั้งๆ ที่ชื่อก็ฟังน่าจะไปในทิศทางที่ดี แต่ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่า ต้นรักจะทำให้ความรักยุ่งยากขึ้น และกลายเป็นคนมากรัก นอกจากนี้ ยางของต้นรัก หากไปสัมผัสโดนเข้าอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้




2. ต้นมะละกอ
จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีชื่อไม่เป็นมงคลนัก บางคนเชื่อว่ามะละกอ เหมือนกับการแตกออกเป็นกอ หรือ “ละ” จากเผ่าจากกอ ส่งผลให้คนภายในบ้านไม่มีความสุข เพราะลูกหลานจะแตกแยกออกไปเป็นกลุ่มๆ มีความคิดที่ขัดแย้งกัน ทะเลาะเบาะแว้งจนหาความสุขไม่ได้ แต่ถ้าต้องการจะปลูกไว้รับประทาน ควรปลูกไว้ริมรั้วนอกบ้าน




3. ต้นระกำ
จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าระกำช้ำชอก เพราะฉะนั้นโบราณจึงถือว่าต้นระกำนั้น ไม่เป็นมงคล หากปลูกไว้ในบ้านจะนำความชอกช้ำ ระกำใจ มาให้อยู่ตลอดเวลา




4. ต้นชวนชม
มีความหมาย 2 นัย ด้วยกัน ทั้งดีและไม่ดี หากมองในด้านดี การปลูกต้นชวนชมเอาไว้ในบ้านจะส่งผลให้มีผู้คนมาชื่นชม นิยมยกย่อง กลายเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่หากมองในแง่ร้าย ต้นชวนชมจะชักชวนให้คนมาเชยชม จึงไม่เหมาะที่จะนำมาปลูกภายในบ้านที่มีลูกสาววัยแรกรุ่น เพราะอาจจะเป็นการชักนำหนุ่มๆ ให้เข้ามาหาลูกสาวได้ เป็นการปูทางให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้น นอกจากนี้ ยางของต้นชวนชมค่อนข้างจะเป็นอันตราย หากไปสัมผัสโดนเข้า อาจเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน




5. ต้นมะรุม
เป็นต้นไม้ที่มาตั้งแต่โบราณ คนนิยมนำมาทำแกงส้ม ชื่อของต้นมะรุมจะไปคล้องจองกับคำว่า มะรุมมะตุ้ม ซึ่งจะมีแต่เรื่องไม่ดีมารุมกระหน่ำเข้ามาจนอยู่ไม่เป็นสุข




6. ต้นชบา
เรามักจะเห็นหลายๆ บ้านปลูกต้นชบา เพราะสีสันของดอกที่สวยสะดุดตา ทำให้บ้านดูสวยงาม แต่ในสมัยโบราณ ไม่นิยมปลูกต้นชบาเอาไว้ในบริเวณบ้าน เพราะดอกชบานั้น มักถูกนำไปใช้ในเรื่องร้ายๆ อย่างเช่น นำดอกชบามาร้อยเป็นพวง แล้วนำไปสวมคอหญิง-ชาย ที่เป็นชู้ หรือลักลอบได้เสียกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเล่นชู้ รวมทั้งนำพวงมาลัยดอกชบาไปสวมคอนักโทษที่กำลังจะถูกประหารอีกด้วย





ภาพจาก www.khaoyaizone.com

7. ต้นโพธิ์
ต้นโพธิ์ไม่ใช่ต้นไม้อัปมงคล แต่ก็ไม่ควรนำมาปลูกในบ้าน เพราะเชื่อกันว่าต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เหมาะสำหรับปลูกตามวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า





ภาพจาก 123ne.blogspot.com

8. ต้นงิ้ว
ไม่ควรปลูกไว้ในบ้าน เพราะเป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชู้ แต่หากปลูกตามสถานที่ที่เป็นองค์กร อาคารสำนักงาน หรือสวนอาหารบางแห่ง ก็ไม่เป็นไร เพราะงิ้วเป็นต้นไม้สูงใหญ่และดูงามตา





9. ต้นเต่าร้าง
เชื่อกันว่าหากสามีภรรยาคู่ใด ปลูกต้นเต่าร้างเอาไว้ในบ้าน อาจมีเรื่องต้องเลิกรากันไป เพราะชื่อของเต่าร้างแสดงความหมายไปในทางเลิกราหรือหย่าร้างกันอยู่แล้ว




10. ต้นนางแย้มป่า
ห้ามปลูกต้นนางแย้มป่าในบ้านโดยเด็ดขาด ตามความเชื่อนางแย้มป่าเป็นต้นไม้ที่มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ หากปลูกไว้ภายในบ้าน วันดีคืนดี ต้นนางแย้มป่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำร้ายรังแกผู้คนในบ้านให้หวาดผวาเสียขวัญ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย

ที่มา http://www.homepro.co.th/

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เช็คตู้เย็นด่วน ! 6 อาหารตัวร้ายที่มาพร้อมกับ ‘ มะเร็ง ‘

เป็นโรคไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ามะเร็ง ! สาวๆคนไหนที่ไม่อยากเสียใจต้องมานั่งทำคีโม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ต้องรีบไปเปิดตู้เย็นเช็คสต็อกแบบด่วนๆ เพราะอาหารหน้าตาน่าหม่ำที่นอนนิ่งอยู่นั้นอาจเป็นสาเหตุตัวร้ายที่ทำให้คุณกลายเป็นมะเร็งได้ไม่รู้ตัว



1.ป๊อปคอร์นไมโครเวฟ : จะมีอะไรฟินไปกว่าได้นั่งจกป๊อปคอร์นพร้อมดูหนังเรื่องโปรดอยู่บนโซฟาที่บ้านจริงไหมคะ ! เลิกฟินแน่ค่ะหากได้รู้ว่าป๊อปคอร์นที่คุณเวฟกินนั้นเคลือบไปด้วยสารพิษ เพราะบนถุงความอร่อยนั้นฉาบเอาไว้ด้วยสารที่ทำให้อาหารสดใหม่แถมด้วยสารพิษที่อาจก่อให้เกิด มะเร็ง นั้นเองค่ะ !



pic : MarkusHendrich

2.เนื้อสัตว์แปรรูป : ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน แฮม แสนอร่อยที่กินง่ายทั้งหลายแหล่นั้นแหละค่ะมะเร็งด้วยล้วนๆ ด้วยกรรมวิธีการแปรรูปเนื้อสัตว์ที่กว่าจะลอยมาถึงปากเราได้เนี้ยผ่านอะไรมามาก ยิ่งต้องผลิตให้ดูสดดูเฟรชอยู่ได้นานสารก่อมะเร็งเพียบค่า


3.ปลาแซลมอนเลี้ยง : หลายคนอาจจะว่าเจ้าแซลมอนเนื้อส้มน่ากินเนี้ย Health สุดๆแล้ว ขอบอกว่าคิดผิดเพราะว่าแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มมักอุดมไปด้วยสารเคมีและที่สำคัญยังอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วย



pic : avantrend

4.มันฝรั่งทอด : รู้นะคะว่าเจ้ามันฝรั่งทอดนั้นกินเพลินเกินห้ามใจจริงๆ แต่ขอเหอะน้ำมันท่วมที่เขาใช้ทอดกันนั้นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเราเลย ลดละเลิกกันเถอะค่ะสาวๆ



pic :Hans

5.เฟรนช์ฟราย : คล้ายกับข้อข้างบนเลยค่ะคุณขา โดยในเฟรนช์ฟรายจะมีสารอะคริลาไมด์หรือสารที่เกิดจากการใช้ความร้อนสูงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าตัวเนี้ยคือสารก่อมะเร็งตัวจริงเลยล่ะค่ะ



6.ปาร์ตี้เกิร์ลทั้งหลายอาจต้องสะอึก เพราะจากการสำรวจผู้หญิง 200,000 กว่าคนในสหรัฐอเมริกา เขาทดสอบมาแล้วว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอร์วันละหนึ่งแก้วต่อวัน เสี่ยงเป็น มะเร็ง มากกว่า 30 % ของคนที่ไม่ดื่ม ได้ยินแบบนี้ก็ดริ้ง ดรังก์กันเบาหน่อยนะจ้ะ


รู้งี้แล้วก็เตรียมตัวโละตู้เย็นใหม่ได้เลย หรือหากห้ามใจไม่ไหวยังไงก็อดใจลด ละดูบ้าง อย่างน้อยภาวะเสี่ยง มะเร็ง จะได้ไม่ถามหาในเวลาอันใกล้ไงล่ะคะ


ที่มา : http://women.mthai.com/dichan/lifestyle/1682.html

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ 8 อย่างของ 'น้ำตาล' ที่มีมากกว่าเอาไว้แค่ปรุงอาหาร


น้ำตาลนับได้ว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารพื้นๆที่ควรมีติดครัวไว้ทุกบ้าน ส่วนมากก็เอาผสมน้ำ ชงนม ทำขนม ทำอาหารกันนั่นแหละ แต่ในคราวนี้ทางเว็บในบ้านได้ไปเจอประโยชน์เด็ดๆของน้ำตาล ที่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนยังไม่รู้ ลองไปดูกันเลยดีกว่า





ประโยชน์ 8 ประการของน้ำตาล ที่มีมากกว่าเอาไว้แค่ปรุงอาหาร


1. ยืดอายุให้ดอกไม้ในแจกัน




น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา กับน้ำส้มสายชูอีก 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในแจกันดอกไม้สด น้ำตาลช่วยเพิ่มความสด น้ำส้มสายชูช่วยฆ่าแบคทีเรียครับ ดอกไม้ในแจกันเราจะบานสวยนานขึ้น




2. ลดอาการเผ็ด




เวลากินของเผ็ดๆมา อมน้ำตาลไว้ในปากสักพักก่อนบ้วนทิ้ง เป็นวิธีระงับความเผ็ดร้อนที่ดีทีเดียวครับ




3.รักษาบาดแผล




จากผลการวิจัยของโรงพยาบาลเซลลี่ โอ๊ก ในเบอร์มิ่งแฮม ระบุว่าการโรยน้ำตาลทรายป่นลงบนแผล แผลกดทับ ก่อนที่จะทำแผลจะช่วยฆ่าแบคทีเรียทำให้ไม่เกิดแผลเรื้อรัง เพราะน้ำตาลได้ดึงเอาแบคทีเรียในแผลไป บาดแผลก็จะหายเร็วขึ้นนั่นเอง




4. ผลัดเซลล์ผิว




ผสมน้ำตาลทรายป่นชนิดละเอียดกับน้ำมันทาผิวต่างๆ หรือเบบี้ออย แล้วค่อยๆ เอามาสครับผิวเบาๆ สามารถประหยัดเงินค่าสครับแพงๆได้ดีทีเดียวล่ะ




5. ช่วยให้สีลิปสติกติดทนนาน




ทริคเสริมสวยสำหรับสาวๆ หลังจากที่ทาลิปสติกเสร็จแล้ว ให้โรยน้ำตาลทรายไปบนริมฝีปากแล้วทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะเช็ดออก น้ำตาลจะช่วยให้ลิปสติกติดทนขึ้น




6. ขจัดคราบสกปรกจากหญ้า




เวลาเสื้อผ้าบังเอิญมีคารบสกปรกจากพื้นหญ้า ทำความสะอาดโดยผสมน้ำตาลลงไปในน้ำแล้วป้ายลงบนคราบเลอะทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ก่อนเอาไปซักตามปกติ คราบสกปรกก็จะหลุดออกอย่างง่ายดาย




7. สครับริมฝีปาก




สำหรับใครที่มีริมฝีปากแห้ง แตก ลอก ทำวิธีไหนก็ไม่หาย ลองผสมน้ำตาลทรายกับน้ำมันมะกอก หรือน้ำตาลทรายกับน้ำผึ้ง แล้วน้ำมาทาไว้บนริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที สครับเบาๆ แล้วล้างออก ริมฝีปากเราก็จะนุ่มชุ่มชื้นขึ้นทันที




8. ทำความสะอาดเครื่องบด




บ้านหลังไหนที่ใช้เครื่องบดเป็นประจำ จะพบว่าหลังจากบดอาหารเสร็จมักจะมีกลิ่นอาหารติดอยู่ในเครื่อง จะล้างทำความสะอาดยังไงกลิ่นก็ไม่จางหายไปเสียที ลองเทน้ำตาลทรายลงไปในเครื่องบด แล้วเดินเครื่องบดสัก 2 – 3 นาที กลิ่นอาหารก็จะค่อยๆ หมดไปครับ




ที่มา : naibann.com

ที่มา: http://www.kinaroi.com/news3393.html

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การดูแลรักษา และเลือกใช้ หินแกลบ ในสวน

การดูแลรักษา และเลือกใช้ หินแกลบ ในสวน 





หลักการเลือกใช้หินแกลบ

กำหนดขอบเขตให้แน่นอน : ก่อนที่เราจะทำการโรยหินแกลบ เพื่อจะได้รองแผ่นตาข่าย ข้อดีของการรองแผ่นตาข่าย คือช่วยยึดหน้าดินอีกทั้งยังง่ายต่อการรื้อถอนป้องกันวัชพืชยังไม่ให้เกิดขึ้นตามมาอีกด้วย

ไม่ควรใช้กับสวนที่มีพื้นที่ขนดใหญ่ : จุดประสงค์หลักๆ ของการใช้หินแกลบคือสร้างความรู้สึกให้สวนดูกว้างขึ้น จึงไม่ควรที่จะใช้กับสวนที่มีพื้นที่กว้างอยู่แล้ว เพราะอาจจะทำให้สวนขาดน้ำหนักอย่างที่ควรจะเป็น

เพิ่มมิติ : การใช้หินแกลบควรคละขนาดกรวดหลายขนาด คละสีสักเล็กน้อยเพื่อเพิ่มมิติให้ไม่ดูเรียบจนเกินไป อีกทั้งยังให้ความรู้สึกไม่น่าเบื่อดูมีลูกเล่นอีกด้วย


การดูแลรักษา

เก็บกวาดสิ่งสกปรกและเพิ่มเติมหินบ้าง : หากจะให้สวนดูสวยงาม ควรดูแลเก็บกวาดใบไม้ในสวนบ้างเพราะจะทำให้สวนดูรก และไม่น่ามอง ทั้งนี้ขนาดของกรวดที่มีขนาดเล็กย่อมกระจัดกระจายได้ง่ายยากแก่การดูแล ดังนั้นควรต้องทำการเก็บกวาดหินกรวด และควรเติมหินแกลบบ้างบางครั้งคราว เพื่อให้พื้นสวนดูเต็มและอัดแน่นขึ้นอีกด้วย

ใช้น้ำชะล้างบ้างเป็นครั้งคราว : การใช้น้ำแรงดันสูงในการทำความสะอาดบ้างเป็นครั้งคราวจะทำให้เศษไม้ใบแห้งติดอยู่หายไป อีกทั้งยังช่วยให้ตะไคร่น้ำที่ติดอยู่หลุดออกไปซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยอีกด้วย

ใช้น้ำยากันตะไคร่น้ำ : การใช้น้ำยากันตะไคร่น้ำ ถือเป็นวิธีที่กันก่อนแก้ เพราะจะทำให้เราไม่มีเจ้าตะกอนคราบสีเขียวๆ มาก่อกวนใจ และยังลดการหมักหมมของเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดโรครากเน่าของต้นไม้อีกด้วย

ที่มา http://decor.mthai.com/garden/20368.html

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

7 ขั้นตอนในการล้างมือที่ถูกต้อง

  เมื่อโลกเปลี่ยน อากาศเปลี่ยนแน่นอนว่าเชื้อโรคย่อมเปลี่ยนและยังเกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เพื่อนเป็นการรัษาสุขภาพของตัวเองควรเริ่มจากมือเป็นอันดับแรก เพราะว่ามือต้องมีการสัมผัสอะไรมากมาย

 7 ขั้นตอนในการล้างมือที่ถูกต้อง





 นอกจากวิธีการล้างมือที่ถูกวิธีเราก็ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย
     1. ฝึกล้างอย่างเป็นระบบ คือการล้างมือให้ครบทุก 7 ขั้นตอนข้างต้นจะช่วยให้ล้างได้ครบทุกส่วน
     2. ใช้สบู่ การล้างมือให้ถูกวิธีจำเป็นต้องใช้สบู่ เพื่อช่วยกำจัดคราบไขมันจากต่อมไขมัน เศษผิวหนัง และสิ่งสกปรกออก และควรจะเป็นสบู่เหลาหรือสบู่ที่ไม่แช่น้ำ สบู่ที่แช่น้ำหรือมีน้ำขังอาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ จึงควรวางสบู่ให้น้ำไหลออก สบู่ยาหรือสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรคไม่ได้ช่วยให้การล้างมือสะอาดขึ้น แต่เวลาล้างมือที่นานพอมีความสำคัญมากก
     3. ล้างก๊อก เชื้อโรคอาจจะไปสะสมหรือหลบซ่อนอยู่ที่ก๊อกน้ำ และกลับมาติดมือหลังล้างมือเสร็จอืกต่อหนึ่ง
     4. ล้างก่อน ล้างมือก่อนกินอาหาร ก่อนดื่มน้ำ ก่อนทำกับข้าวหรือเตรียมอาหาร
     5. ล้างหลัง ล้างมือด้วยสบู่หลังออกจากห้องน้ำทุกครั้ง
     6. ตัดเล็บ ตัดเล็บมือให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคที่เล็บ
     7. ล้างให้นานพอ ถ้าจะล้างมือให้สะอาด และครบทุกส่วน คงต้องใช้เวลาพอๆ กับการแปรงฟัน 2-3 นาที






 ที่มา : healthytiptoday.exteen.com , fwdder.com

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของแอปเปิ้ล


เรื่องนี้ นพ. กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์ อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ถ้าแบ่งสีของแอปเปิลง่าย ๆ อาจแบ่งเป็น “แอปเปิ้ลสีเขียว” กับ “แอปเปิ้ลที่ไม่ใช่สีเขียว” ที่แบ่งแบบนี้ก็เพราะว่า มันจะแบ่งวิตามินที่ต่างกันได้ง่าย แอปเปิลสีแดง แอปเปิลสีชมพู แอปเปิลสีเหลือง เกิดจากซูเปอร์วิตามินที่มีชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” เป็นตัวเดียวกับที่มีในองุ่น แอปเปิลบางลูกสีออกเข้ม ๆ แดงเกือบม่วง เกิดจากแอนโทไซยานิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อสู้เซลล์มะเร็งได้

        ส่วน แอปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวมากกว่า เกิดจากมีสารตัวหนึ่งชื่อว่า “กรดมาลิก” มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนยาปฏิชีวนะ ฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ปรับสมดุลลำไส้  “แอปเปิ้ล” ไม่ว่าสีแดงหรือสีเขียว มีสารสำคัญที่เป็นพระเอก คือ “โพลีฟีนอล” (Polyphenel) เป็นตระกูลใหญ่แล้วแบ่งเป็นตระกูลย่อย เช่น  “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมัน คุมน้ำตาล คนมักจะคิดว่าเป็นเบาหวานกินแอปเปิ้ลได้หรือ ขอบอกว่าควรกินเพราะแอปเปิลช่วยได้ แต่ควรเลือกกินสีเขียว เพราะน้ำตาลไม่เยอะ และช่วยคุมอินซูลินด้วย ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเบาหวาน สามารถกินแอปเปิ้ลได้หลากสีซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี รวมถึงลดไขมันด้วย ฝรั่งถึงขั้นบอกว่า ถ้ากิน แอปเปิ้ลวันละลูก ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอเลยทีเดียว นอกจากนี้ อาจใช้แอปเปิ้ลในการดีท็อกซ์ โดยกินแอปเปิ้ลสัปดาห์ละ 1 วัน อาจจะสลับกินแอปเปิลสีละมื้อในอาหารมื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก็ได้ไม่ว่ากัน

มีงานวิจัยจาก “มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตต” บอกว่า “โพลีฟีนอล” ช่วยลดไขมันในเลือดได้นับ 10 เปอร์ เซ็นต์ ช่วยลดการแข็งตัวของหลอดเลือดโดยเฉพาะลด “แอลดีแอล” นอกจากนี้ยังช่วยป้องกัน ผิวพรรณไม่ให้โดนแดดเผาทำลาย ป้องกันยูวีเอ และยูวีบี  เวลาเรากัดแอปเปิ้ลทิ้งไว้แล้วสีของเนื้อแอปเปิ้ลเปลี่ยนไปนั่นแสดงว่า  มีสาร “โพลีฟีนอล” ที่ไหนมีสารโพลีฟีนอลพอโดนอากาศจะเกิดสนิมเป็นสีน้ำตาลขึ้นมาทันที ไม่ว่าผัก หรือ ผลไม้

        แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เพราะให้วิตามินสูง แคลอรีต่ำ จึงเป็นอาหารในฝันของคนลดน้ำหนัก 
ลดความอ้วน กินแล้วอิ่มท้องได้ใยอาหาร ให้แคลอรีต่ำ เทคนิคในการกินแอปเปิ้ล คือ กินทั้งเปลือก เพราะสารสำคัญ คือ  “โพลีฟีนอล” มักจะอยู่ตามเปลือก หรือเนื้อที่อยู่ติดกับเปลือก  แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะปอกเปลือกทิ้งไปซึ่งน่าเสียดาย

        อาจมีคนแย้งว่า กินแต่เปลือกได้หรือไม่ คำตอบ คือ หากกินแต่เปลือกจะไม่ได้สารสำคัญที่มีอยู่ในเนื้อแอปเปิ้ลที่ชื่อว่า “เพคติน” เป็นใยอาหารเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ช่วยซับไขมัน และน้ำตาล ดังนั้น ควรกินทั้งเปลือกและเนื้อ คือ กินทั้งลูกจะดีกว่า ส่วนเมล็ดแอปเปิ้ลนั้นไม่อยากให้กิน เพราะมี “สารแทนนิน” หรือ สารฝาด ความจริงสารนี้มีประโยชน์ แต่ข้อเสียคือ เมล็ดแอปเปิ้ลมี  “สารแทนนิน” ค่อนข้างเข้มข้น ถ้าไปกัดเมล็ดแอปเปิ้ลแตกจะได้ “สารแทนนิน”ที่เข้มข้นเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ พะอืดพะอม นอกจากนี้ยังมี “สารกลุ่มไซยาไนด์” มีความเป็นพิษและมีผลต่อหัวใจ แต่ไม่ต้องกังวลมาก เพราะต้องกินเมล็ดแอปเปิลในปริมาณมากจริง ๆ จึงได้รับพิษ

        มีเรื่องสนุกอีกอย่างที่คนอาจไม่รู้ คือ แอปเปิ้ลมีแก๊สตัวหนึ่งชื่อว่า “เอทีลีน” (Ethylene) ถ้าเราเผลอนำแอปเปิลที่กัดแล้วคำหนึ่งไปใส่ไว้ในตู้เย็น รวมกับกล้วย หรือผลไม้อื่น ๆ จะทำให้ผลไม้อื่นเน่าได้ โดยแก๊ส  “เอทีลีน” เหมือนกับแก๊สที่ชาวบ้านใช้บ่มผลไม้ ดังนั้น ถ้ากัดกินแอปเปิลแล้วเหลือต้องใส่ถุงมัดปากให้ดีไม่ให้แก๊สออกมาได้ ราคาแอปเปิ้ลถูกกับแพงแตกต่างกันหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า ส่วนตัวก็กินแอปเปิ้ลราคาถูก ซึ่งต้องระวังเรื่องสารปนเปื้อนที่ติดมากับเปลือก อาทิ สารเคลือบ หรือยาฆ่าแมลง โดยธรรมชาติแอปเปิ้ลมีการสร้างไขออกมาเคลือบลูกแอปเปิ้ลอยู่แล้ว ผิวจึงมันตามธรรมชาติ แต่บางครั้งเวลานำมาจำหน่ายอาจมีการแว็กซ์เพิ่ม ดังนั้น ก่อนกินควรล้างให้สะอาด แต่อย่าถึงขั้นล้างจนผิวด้าน เพราะอาจทำให้วิตามินหายไปและเหี่ยวเร็ว เวลาจะกินค่อยล้างดีกว่า อย่าล้างไว้มาก ๆ แล้วใส่ตู้เย็นทิ้งไว้

สรุป กินแอปเปิ้ลสีไหนก็ได้ แต่ต้องกินทั้งเปลือก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมัน คุมน้ำตาล เหมาะกับคนอ้วน ต้องการลดน้ำหนักดีนักแล

ที่มา: ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รายการ เลขพลิกชีวิต



ชมรายการย้อนหลังได้ที่ รายการเลขพลิกชีวิต






รายการ(สด)เลขพลิกชีวิต 
ทุกวัน อังคาร เวลา 20.00-21.00 น. 
ช่อง Super บันเทิง 
รับชมได้ทาง....
1.True vision 71และ48
2.มือถือระบบAndroidดาวน์โหลด app. Superบันเทิง ได้ทาง
http://stationg.com/sbt.apk
ดูสดออนไลท์กดที่นี่
http://tv.truelife.com/live/2857050/s...ซุปเปอร์-บันเทิง


ติดตามข่าวสารหรือสอบถามเกี่ยวกับพลังตัวเ­ลขได้ที่ http://www.facebook.com/berrubchok.net และ http://www.berrubchok.com/ 
ติดต่ออาจารย์นิติกฤตย์ กิตติศรีวรนันท์ โทร.086-232-4416 (เวลา10.00-17.00น.)

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับง่ายๆ ดับกลิ่น สีบ้านใหม่

หลังจากตัดสินใจแปลงโฉมบ้านให้สวยพริ้งด้วยการทาสีบ้านใหม่แล้ว หลายคนอาจจะกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสีใหม่ที่แสนกวนใจ .. อ่านทางนี้เลยค่ะ เพราะเรามีเคล็บลับดีๆ สำหรับการ ดับกลิ่น สีมาฝากกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สาวๆ ทุกคนสามารถจัดการทำเองได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวช่วยที่ไม่ยุ่งยาก จะทำอย่างไรได้บ้าง ลองไปดูกันเลยค่ะ



เคล็ดลับง่ายๆ ดับกลิ่น สีบ้านใหม่ ไม่ให้กวนใจ

1. เริ่มด้วยวิธีที่ง่ายสุดๆ ที่สามารถทำได้ด้วยมือเปล่า นั่นคือ เปิดหน้าต่างประตูออกให้หมด เพื่อให้อากาศระบาย ตามด้วยเปิดพัดลมไล่อากาศ เชื่อว่าอีกสักพักก็จะช่วยให้กลิ่นสีค่อยๆ จางหายไปเอง

2. ต่อด้วยการใช้พืชผักประจำครัว ด้วยการนำหอมแดงทุบเอาไว้ใส่ชาม แล้วนำไว้กลางห้อง 1-2 วัน เพียงเท่านี้กลิ่นสีที่เหม็น ๆ จะหายไปแล้วล่ะค่ะ

3. หอมหัวใหญ่ ก็ช่วยได้เหมือนกัน ด้วยการหั่นครึ่งหอมหัวใหญ่ เอาไปวางมุมห้อง เอาสเปรย์ปรับอากาศฉีดอัด ๆ เช้า-เย็น ร่วมด้วย ไม่กี่วันกลิ่นก็จายหายไป

4. ใช้ใบเตยสดเป็นกำๆ และลูกมะกรูดที่มีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังช่วยลดกลิ่นอับได้ด้วย (ตลาดสดบ้านเรา ขายใบเตยกำละ 5-10 บาท)

5. หรือจะนำ น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อนจัดครึ่งต่อครึ่ง เอาใส่แก้ววางไว้ที่กลางห้อง (เลือกแก้วสีๆ ก็จะทำให้ห้องดูเก๋ได้นะคะ)

6. มาที่อุปกรณ์เหลือใช้ในห้องอาบน้ำบ้าง ด้วยการนำเศษสบู่หอมๆ ไปวางไว้ตามมุมห้อง กลิ่นสีจะหายไป

7. หากล่องกระดาษเล็กๆ ใส่ถ่านไม้ วางไว้ทั่วห้อง เนื่องจากถ่านไม้เป็นคาร์บอน และมีคุณสมบัติในการช่วยดูดกลิ่น

8. นำภาชนะถ้วยเล็กๆ แล้วตักวานิลาใส่ลงไปสัก 1-2 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตั้งไว้ในห้องที่ทาสี .. วานิลาจะช่วยดูดกลิ่นสีให้หมดไปจากห้องเร็วขึ้น



เป็นไงกันบ้างคะกับวิธีต่างๆ ที่นำมาฝากกัน ยังไงก็อยากให้ลองเลือกทำกันดู เพื่อไม่ให้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มาทำลายบรรยากาศบ้านสีสวยๆ หลังนี้ของเรากันค่ะ

โดย by .The Pisces. ที่มา http://www.chicministry.com/
ภาพจาก www.glamluxe-gala.com
ที่มา : เคล็ดลับง่ายๆ ดับกลิ่น สีบ้านใหม่ ไม่ให้กวนใจ

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับ วิธีดับกลิ่นห้องน้ำ

เคล็ดลับ วิธีดับกลิ่นห้องน้ำ




ดับกลิ่นห้องน้ำด้วยลูกเหม็น : วิธีนี้เป็นวิธีเบสิคที่ถ้าพูดถึงการดับกลิ่นห้องน้ำ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงวิธีนี้เป็นอันดับแรกๆ เป็นวิธีที่ได้ผลและขั้นตอนการการเตรียมอุปกรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ซื้อลูกเหม็นมา 1 ห่อ และนำไปว่าไว้บริเวณชักโครก แค่นี้กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ในห้องน้ำก็จะหมดไป

สบู่เหลวอาบน้ำเดทตอล : อ่านไม่ผิดหลอกค่ะ สบู่เดทตอลช่วยขจัดกลิ่นในห้องน้ำได้จริงๆ ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่เพื่อนๆ อาบน้ำ และล้างน้ำ น้ำสบู่ที่เรานำมาถูตัวก็จะไหลลงท่อไปช่วยขจัดเชื้อโรค และก็จะมีกลิ่นหอมของสบู่หอมทั่วทั้งห้องเลยค่ะ

ดับกลิ่นชักโครกด้วยเกลือ : คุณสมบัติของเกลือจะขจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเหม็นในห้องน้ำได้ วิธีการก็คือเทเกลือลงไปในน้ำ และราดลงไปที่ชักโครกทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือนานกว่านั้นก็ได้นะคะ ถ้าคุณไม่รีบใช้ห้องน้ำ เพียงแค่นี้ห้องกลิ่นเหม็นในห้องน้ำก็จะลดลง

ถ่านหุงต้น : ถ่านสีดำๆ ที่เราไว้ใช้เป็นฝืนเพื่อจุดไฟนอกจากจะช่วยลดกลิ่นอับในตู้เย็นได้แล้ว ยังสามารถดูดกลิ่นอับในห้องน้ำได้ด้วยนะคะ เพียงแค่คุณน้ำถ่านใส่ถุงพลาสติกและนำไปวางไว้ในห้องน้ำ แค่นั้นถ่านก็จะดูดกลิ่นอับในห้องน้ำให้หมดไป

ดับกลิ่นห้องน้ำด้วยมะกรูด : การดับกลิ่นห้องน้ำด้วยมะกรูดก็เป็นอีกนึงวิธีที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ผ่ามะกรูดให้เป็นชิ้นๆ แล้วก็นำไปวางไว้ตามชักโครก มะกรูดจะดับกลิ่นเหม็นของปัสสาวะได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

ได้เห็นเคล็ดลับ ดับกลิ่นในห้องน้ำ กันไปแล้วถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาวิธีดับกลิ่นห้องน้ำอยู่พอดี ก็ลองนำวิธีข้างต้นไปใช้กับบ้านเพื่อนๆ กันดูนะคะ

ที่มา : เคล็ดลับ วิธีดับกลิ่นห้องน้ำ

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

เพื่อนๆ หลายคนมีปัญหากับการอ่านหนังสือสอบกันเป็นจำนวนมากที่เดียว ไม่มีสมาธิบ้าง ไม่รู้จักเริ่มต้นอ่านตรงไหน โฟกัสจุดไหนดี วันนี้ ทีนเอ็มไทยมี เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น มาฝากกันคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ^^ 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น



 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น
1. อ่านหน้าสรุปก่อน

อ่านตอนจบก่อนเลย ผู้เขียนหนังสือส่วนใหญ่ชอบเขียนให้ดูลึกลับ ชักแม่น้ำทั้งห้า เขียนอธิบายอย่างละเอียดยิบ ใช้ประโยคที่ต้องอ่านซ้ำสองสามรอบถึงจะเข้าใจ โดยเฉพาะในหน้าแรก ๆ ของบท เราไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติชีวิตของผู้เขียน บทนำ ซึ่งจะเป็นการเขียนเกริ่นแนะนำให้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่

ในทางกลับกัน บทส่งท้าย หรือบทสรุป เป็นสิ่งที่ต้องอ่าน โดยปกติแล้วจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนสรุปข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวมา อีกทั้ง หากเราอ่านบทสรุปก่อน แล้วกลับมาอ่านหน้าแรกอีกครั้งก็ทำให้เราสามารถอ่านได้เข้าใจมากขึ้น แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก่อนเพื่อไปเรียนในคาบถัดไป การอ่านส่วนบทสรุปก็ทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆของเนื้อหาที่ต้องเรียนแล้ว

2. ใช้ปากกาไฮไลต์เพื่อนเน้นใจความสำคัญ

ข้อผิดพลาดที่หลายคนทำ คือการเลิกไฮไลต์ เนื่องจากครูผู้สอนกล่าวถึงแทบทุกอย่างในหน้าหนังสือ เลยไฮไลต์ตาม ปรากฏว่าไฮไลต์ไปหมดทั้งหน้า ซึ่งกลายเป็นการกระทำที่ไม่เกิดประโยชน์ไป จึงขี้เกียจไฮไลต์อีก และเลิกทำไปในที่สุด

ความจริงแล้ว การไฮไลต์ข้อความนั้นมีประโยชน์มาก “หากใช้อย่างถูกวิธี” ไม่ควรไฮไลต์ทุกอย่างในหน้า และไม่ควรไฮไลต์น้อยจนเกินไป สิ่งที่ควรทำคือการไฮไลต์ข้อความที่ผู้เขียนกล่าวสรุป โดยปกติแล้วผู้เขียนมักจะกล่าวประเด็นซ้ำไปมาหลายหน้าและให้ข้อมูลสรุปประเด็นที่ย่อหน้าสุดท้าย ให้ไฮไลต์บริเวณนั้น เมื่อเราเปิดหนังสือมาอ่านอีกครั้ง เราจะสามารถทราบทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว

3. ดูสารบรรณและหัวข้อย่อย

นักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยมักประหลาดใจเมื่อทราบข้อนี้ว่า อาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้อ่านหนังสือจนจบเล่ม แต่สิ่งที่พวกท่านทำนั้น คือการดูสารบรรณและอ่านหัวข้อที่น่าสนใจหรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำเท่านั้น หรือไม่ก็ใช้วิธีการ อ่านผ่านๆอย่างรวดเร็ว (skimming) จนเมื่อเจอหัวข้อที่น่าสนใจจึงค่อยหยุดอ่านอย่างตั้งใจ ทำให้การอ่านั้นไม่น่าเบื่อ เพราะว่าเราจะได้อ่านสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ เท่านั้น

และยังทำให้เรารู้ใจความสำคัญของสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้อยู่ดี เพราะผู้เขียนมักจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญซ้ำ ๆ ในทุกส่วนของหนังสือ เทคนิคนี้ช่วยป้องกันอาการ “ตามองอ่านตัวหนังสือทุกบรรทัด แต่ใจความไม่เข้าหัวเลย” อ่านออกแต่สมองไม่ตอบรับว่าสิ่งที่อ่านไปนั้นคืออะไร เพราะเกิดจากการอ่านสิ่งที่เราไม่อยากอ่านนั่นเอง


8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

4. ขวนขวายกันสักนิด

แทนที่จะซึมซับทุกอย่างจากการอ่านหนังสือที่อาจารย์สั่งเท่านั้น ลองเปิดโลกใหม่ดูบ้าง หาหนังสือเล่มอื่นๆ ในห้องสมุด หรือในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะไปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาอ่านดู ซึ่งหนังสือบางเล่มพูดถึงเล่มเดียวกันแต่เขียนได้น่าอ่าน อ่านเข้าใจง่าย มีภาพประกอบเพิ่ม สรุปแบบอ่านแล้วเข้าใจ ซึ่งจริง ๆ เนื้อหาก็เรื่องเดียวกับที่เรียนในห้อง

แต่ขึ้นชื่อว่าหนังสือเรียนก็รู้ๆ กันอยู่อ่านไปหลับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นการหาความรู้ข้างนอกมาเสริมจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ง่าย และเข้าใจมากขึ้น บางทีอาจรู้ลึกกว่าที่เรียนในคาบเสียอีกนะ หนังสือประวัติศาสตร์ไทย ที่มีอยู่ในห้องสมุดอาจจะอ่านแล้วสนุกน่าอ่านกว่าหนังสือที่ใช้เรียนอยู่ก็ได้ การอ่านไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สนุกได้โดยอัตโนมัติ หากเราไม่มองหาสิ่งที่เราอยากอ่านจริง ๆ เสียก่อน การอ่านจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเราไป

5. พยายามอย่าอ่านทุกคำ

หลายคนคิดว่าการอ่านทุกคำจะช่วยให้จดจำข้อมูลได้อย่างละเอียดยิบ ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมองจะได้รับข้อมูลมากเกินไปและเกิดความล้า เบื่อหน่ายจนตาลอยอ่านหนังสือไม่เข้าหัวในที่สุด

ที่เป็นเช่นนี้เพราะหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในประเภทนิยายมักจะถูกเขียนอธิบายซ้ำ ๆ เพราะผู้เขียนต้องการจะกล่าวอธิบายให้กระจ่าง แต่ใจความสำคัญจริง ๆ แล้วอยู่ที่บทสรุปเพียงไม่กี่ย่อหน้า หนังสือส่วนใหญ่ใส่ข้อมูลหลักฐานจนแน่นมากกว่าจะกล่าวถึงประเด็น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีและน่าสนใจ แต่ทุกหลักฐานที่อ้างนั้นก็กล่าวถึงประเด็นเดียว การอ่านเพิ่มเติมก็เป็นการย้ำถึงประเด็นเดิม ดังนั้นเลือกหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดแล้วอ่านบทต่อไปเถอะ

แม้แต่หนังสือประเภทนวนิยายก็อาจทำให้เราเบื่อได้เช่นกัน ในบางตอนที่ผู้เขียนอธิบายฉากอย่างละเอียดยิบ ให้ใช้วิธีการอ่านผ่าน ๆ (skimming) จนกว่าจะเจอฉากที่น่าสนใจและอ่านอย่างตั้งใจอีกครั้ง การทำเช่นนี้อาจจะทำให้พลาดส่วนสำคัญบางอย่างไป แต่ก็ทำให้เราอ่านต่อไปได้มาก ดีกว่าเบื่อและหยุดอ่านไป

6. เขียนสรุปมุมมองของผู้อ่าน

อดทนหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อ! คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเขียน แต่การเขียนนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลสำคัญในระยะเวลาอันสั้น หากเป็นไปได้ให้เขียนใจความสำคัญในแบบฉบับของเราใน 1 หน้ากระดาษ โดยพูดถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างสั้น ๆ และคำถามหรือความรู้สึกของเราที่ต้องการการค้นคว้าเพื่อหาคำตอบต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

การเขียนมุมมองของผู้อ่านเช่นนี้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทราบถึงประเด็นสำคัญของหนังสือเช่นเดียวกับการไฮไลต์ข้อความ เมื่อใกล้ถึงช่วงสอบ จะเป็นการง่ายกว่าที่เราจะนั่งอ่านมุมมองสรุปของผู้อ่าน แทนที่จะพลิกตำราอ่านหนังสือทั้งเล่มเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง หากเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เราสามารถอ่านรีวิวหนังสือจากผู้อ่านคนอื่น ๆ ในเว็บไซต์ เช่น Amazon เป็นการเสริมข้อมูลในมุมมองของผู้อ่านท่านอื่น ๆ ที่ได้รับจากหนังสือเล่มนั้นเช่นกัน


เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

7. อภิปรายกับผู้อื่น

คนส่วนมากไม่ชอบการทำงานกลุ่ม แต่การจับกลุ่มกันพูดถึงเนื้้อหาของหนังสือที่ต้องอ่านข่วยทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น บางครั้งอาจพูดถึงหนังสือในแง่ตลก ๆ ก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้เมื่อเราอยู่ในห้องสอบ เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน เป็นการใช้หลักการเชื่อมโยงข้อมูลที่ทำให้สมองของเราทำงานได้ง่ายขึ้น

การพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านช่วยทำให้เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากบางส่วนที่เรามองข้ามไป บางคนนั้นชอบเรียนรู้โดยการฟัง และมักจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ยินข้อมูล ดังนั้นการพูดคุยสนทนาถกเถียงประเด็นที่อยู่ในหนังสือจะทำให้เราจำประเด็นสำคัญนั้นได้ดีเมื่อได้ฟังผ่านหู ทำให้เราสามารถระลึกถึงข้อมูลส่วนนั้นได้เมื่ออยู่ในการสอบ

8. จดคำถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน

หัวใจหลักของเทคนิคนี้ คือการตั้งคำถาม อย่าเชื่อว่าผู้เขียนนั้นเขียนได้ถูกต้องซะทีเดียว ให้จดจ่อกับสิ่งที่อาจและใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ในการอ่าน เช่น

ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวเช่นนั้น?
หลักฐานคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือ?
ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนอย่างไร?
ผู้เขียนต้องการสื่อข้อความนี้ให้แก่ใคร?
คำถามอาจซับซ้อนกว่านี้หรือง่ายกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหนังสือที่อ่าน เคล็ดลับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราอ่านหนังสือและจดจำได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าอาจจะมีวิธีที่หลากหลายกว่านี้ แต่ละวิธีก็อาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิธีไหน

กล่าวโดยสรุปก็คือ เราต้องกระตือรือร้นในการอ่าน ค้นหาสิ่งที่อยากอ่าน และทุ่มเทสักหน่อย และจดจำประเด็นสำคัญ หากทำได้เช่นนี้รับรองว่าหนังสือร้อยหน้าก็อ่านจบได้ในเวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองจ้ะ

ขอบคุณที่มา LifeHack.org

ที่มา : 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธี บล็อค โฆษณา Youtube

หลังจาก Youtube ได้เปิดสาขาประเทศไทย ทำให้เราประสบชะตากรรมต้องโดนโฆษณาขัดจังหวะเสมอ ฟังเพลงเพลินๆเจอโฆษณาทีเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน เพื่อให้เราสามารถทำงานไปฟังเพลงไปอย่างราบลื่น เราจึงของเสนอ วิธี บล็อค โฆษณา Youtube  บน Google Chrome ทำยังไงนั้นมาดูกันครับ

วิธี บล็อค โฆษณา Youtube

1.คลิกเข้าไปที่ ลิ้งค์นี้ เพื่อดาวน์โหลดส่วนขยาย






วิธี บล็อค โฆษณา Youtube ด้วย Extension



2.คลิกเลือกที่ +ฟรี





Adblock ตัว บล็อคโฆษณา

3.เลือก “เพิ่ม” (Add)





ติดตั้งไม่ให้ โฆษณา มากวนใจ

4.เมื่อเห็นหน้าต่างนี้เด้งขึ้นมาบนมุมขวา แสดงว่าเราติดตั้งตัว บล็อค โฆษณา Youtube เสร็จแล้ว





บล็อค เรียบร้อย 

5.เท่านี้เราก็ดู Youtube ได้อย่างไม่มีโฆษณากวนใจแล้ว





ดู Youtube ได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : วิธี บล็อค โฆษณา Youtube ดูหนังฟังเพลงไม่โดนขัดจังหวะ